การตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
และการตราพระราชบัญญัติ
๑. การตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
การตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ คือ
กฎหมายที่มีลักษณะพิเศษที่
รัฐธรรมนูญระบุชื่อและหลักการสาคัญเอาไว้โดยเฉพาะเพื่อขยายบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
มีกระบวนการตราและพิจารณาเหมือนกับการตราพระราชบัญญัติ แต่มีลักษณะพิเศษโดยรัฐสภาจะตราขึ้นได้เฉพาะในกรณีที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ตราขึ้นและกาหนดเนื้อหาสาระสาคัญไว้
อันเป็นการผูกพันให้รัฐสภาจะต้อง ตรากฎหมายให้มีเนื้อหาสอดคล้องกับหลักการที่รัฐธรรมนูญกาหนดเท่านั้น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบันได้บัญญัติให้มีพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญจานวน
๑๐ ฉบับ คือ
๑. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
๒. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
๓. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง
๔. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
๕. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน
๖. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม
การทุจริต
๗. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน
๘. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
๙. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง
๑๐. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๑.๑
ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจะเสนอได้ก็แต่โดย
๑. คณะรัฐมนตรี โดยข้อเสนอแนะของศาลฎีกา
ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง
๒. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจานวนสมาชิกทั้งหมด
เท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
๑.๒ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ นอกจากที่บัญญัติไว้ ให้กระทาเช่นเดียวกับพระราชบัญญัติ โดยให้เสนอต่อรัฐสภา และให้รัฐสภาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวัน โดยการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สาม ต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยมากกว่ากึ่งหนึ่งของจานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของรัฐสภา ถ้าที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาพิจารณา ไม่แล้วเสร็จภายในกาหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามร่างที่เสนอ และภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ให้รัฐสภาส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นไปยังศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความเห็น
- ในกรณีที่ศาลฎีกา
ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องไม่มี ข้อทักท้วงภายในสิบวันนับแต่วันที่ได้รับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ให้รัฐสภาดาเนินการต่อไป
- ในกรณีที่ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องมีความเห็นว่า
ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบมีข้อความใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
หรือทาให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ได้ให้เสนอความเห็นไปยังรัฐสภาและให้รัฐสภาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวัน
นับแต่วันที่ได้รับความเห็น ในการนี้ ให้รัฐสภามีอานาจแก้ไขเพิ่มเติมตามข้อเสนอของศาลฎีกา
ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระตามที่เห็นสมควรได้ และเมื่อดาเนินการเสร็จแล้ว ให้รัฐสภาดาเนินการต่อไป
๒.การตราพระราชบัญญัติ
การตราพระราชบัญญัติ คือ
กระบวนการหรือขั้นตอนในการเสนอและพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจนมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย
๒.๑ การเสนอร่างพระราชบัญญัติ
ร่างพระราชบัญญัติ ให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน และจะเสนอได้ก็แต่โดย
(๑) คณะรัฐมนตรี
(๒) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจานวนไม่น้อยกว่า
๒๐ คน
(๓) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจานวนไม่น้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ คน เข้าชื่อเสนอกฎหมาย ตามหมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หรือหมวด
๕ หน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติซึ่งผู้เสนอเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งและเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคารับรองของนายกรัฐมนตรี
๔
ร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวด้วยการเงิน
หมายถึง ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังต่อไปนี้
๑) การตั้งขึ้น ยกเลิก
ลด เปลี่ยนแปลง แก้ไข ผ่อน หรือวางระเบียบการบังคับ อันเกี่ยวกับภาษีหรืออากร
๒) การจัดสรร รับ
รักษา หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือการโอนงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน
๓) การกู้เงิน การค้าประกัน
การใช้เงินกู้หรือการดาเนินการที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐ
๔) เงินตรา
ในกรณีที่เป็นที่สงสัยว่าร่างพระราชบัญญัติใดเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน
ให้เป็นอานาจของที่ประชุมร่วมกันของประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานคณะกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎรทุกคณะเป็นผู้วินิจฉัย
ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรจัดให้มีการประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณากรณีที่เป็น
ที่สงสัยว่าร่างพระราชบัญญัติใดเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีกรณีดังกล่าว
มติของที่ประชุมร่วมกันในการพิจารณาวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติใดเป็น ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน ให้ใช้เสียงข้างมากเป็นประมาณ ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรออกเสียงเพิ่มเติมอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
๒.๒
กระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ
๒.๒.๑ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจะต้องเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อน
ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรจะต้องพิจารณา เป็น ๓ วาระ ดังนี้
วาระที่หนึ่ง ขั้นรับหลักการ
เป็นการพิจารณาหลักการของร่างพระราชบัญญัติว่าสมควรจะลงมติรับหลักการหรือไม่รับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติ
โดยผู้เสนอจะชี้แจงหลักการและเหตุผลประกอบการเสนอของร่างพระราชบัญญัติ แล้วให้สมาชิกอภิปรายได้ไม่ว่าจะอภิปรายคัดค้านหรือสนับสนุน
หรือข้อซักถาม เมื่อจบการอภิปรายแล้ว ที่ประชุมจะลงมติว่าจะรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้หรือไม่
ถ้าที่ประชุมมีมติรับหลักการก็จะเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่สอง แต่ถ้าไม่รับหลักการ
ร่างพระราชบัญญัตินั้นก็เป็นอันตกไป
แต่ในบางกรณีที่ประชุมจะลงมติให้ส่งคณะกรรมาธิการพิจารณาหลักการแห่ง
ร่างพระราชบัญญัตินั้นก่อนก็ได้เพื่อประโยชน์ในการพิจารณา เมื่อพิจารณาเสร็จแล้วก็จะทารายงานเสนอต่อสภาเพื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาต่อไป
ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติที่สมาชิกเป็นผู้เสนอ คณะรัฐมนตรีอาจขอรับร่างไปพิจารณาก่อนรับหลักการก็ได้
ซึ่งเป็นเอกสิทธิของคณะรัฐมนตรี เมื่อครบกาหนดเวลา การรอการพิจารณาแล้ว ประธานสภาผู้แทนราษฎรก็จะสั่งบรรจุเข้าระเบียบวาระ
เพื่อพิจารณาต่อไป
วาระที่สอง ขั้นพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการและการพิจารณารายมาตรา
การพิจารณาในวาระที่สองเป็นการพิจารณาในรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติ
มี ๒ ลักษณะ คือ สภาผู้แทนราษฎรมีมติให้ดาเนินการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ โดยคณะกรรมาธิการเต็มสภา
หรือมีมติแต่งตั้งและมอบหมายให้คณะกรรมาธิการคณะใดคณะหนึ่งเป็นผู้พิจารณา ดังนี้
- การพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการเต็มสภา ถือว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนทาหน้าที่เป็นกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้น ซึ่งจะใช้สาหรับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่มีความจาเป็นรีบด่วนที่จะต้องออกใช้บังคับหรือเป็นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่มีรายละเอียดไม่มากและไม่ยากในการพิจารณา โดยการพิจารณาครั้งเดียวสามวาระ ไม่มีขั้นตอนการยื่นคาขอแปรญัตติ มีผลการพิจารณาเป็นรายมาตราในชั้นกรรมาธิการและเป็นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่สองคราวเดียวกัน
- การพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการที่สภาแต่งตั้ง อาจเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ
หรือคณะกรรมาธิการวิสามัญก็ได้
หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการชุดนั้น
และเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติก็ให้เสนอคาขอ “แปรญัตติ” ต่อประธานคณะกรรมาธิการที่พิจารณาร่างนั้น
ภายในเจ็ดวันนับแต่วันถัดจากวันที่สภารับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติเว้นแต่สภาจะได้กาหนดเวลาแปรญัตติสาหรับร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้เป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ การแปรญัตติต้องแปรเป็นรายมาตราและการแปรญัตติเพิ่มมาตราขึ้นใหม่หรือตัดทอนหรือแก้ไขมาตราเดิมต้องไม่ขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้น
วาระที่สาม ขั้นลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติ
การพิจารณาในวาระที่สามไม่มีการอภิปราย และให้ที่ประชุมลงมติว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ
ในกรณีที่สภาลงมติไม่ให้ความเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป แต่ในกรณีที่สภามีมติให้ความเห็นชอบ
ให้ประธานสภาดาเนินการเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อวุฒิสภาต่อไป ๗
๒.๒.๒
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของวุฒิสภา
วุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเป็น ๓ วาระ เช่นเดียวกับการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
แต่ต้องพิจารณาตามกาหนดเวลาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวัน แต่ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวด้วยการเงินต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวัน
กาหนดวันดังกล่าวให้หมายถึงวันในสมัยประชุมและให้เริ่มนับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัตินั้น
มาถึงวุฒิสภา เว้นแต่วุฒิสภาจะได้ลงมติขยายเวลาออกไปเป็นกรณีพิเศษไม่เกินสามสิบวัน
หากวุฒิสภาพิจารณาไม่เสร็จภายในกาหนดเวลาให้ถือว่าวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบ ในร่างพระราชบัญญัตินั้น
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของวุฒิสภา จะพิจารณาดังนี้
๑. กรณีวุฒิสภาเห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร
ให้นายกรัฐมนตรีนาขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย
๒. กรณีวุฒิสภาไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร
ต้องยับยั้งร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ก่อน แล้วส่งคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎร ครบหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
สภาผู้แทนราษฎรจึงจะสามารถนากลับมาพิจารณาอีกครั้ง แต่ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินให้ลดเหลือสิบวัน
หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนากลับมาพิจารณาใหม่และลงมติยืนยันร่างเดิมด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่าที่มีอยู่
ถือว่าร่างนั้นได้รับความเห็นชอบแล้วให้นาเข้าสู่ขั้นตอนประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
๓. กรณีวุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติม วุฒิสภาต้องส่งร่างพระราชบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติมไปยังสภาผู้แทนราษฎร เมื่อสภาผู้แทนราษฎรรับทราบและเห็นชอบด้วย ให้นายกรัฐมนตรีนาขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ทันที แต่ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบ ให้ทั้งสองสภาตั้งบุคคลที่มีจานวนเท่ากันขึ้นเป็น “คณะกรรมาธิการร่วมกัน” เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นอีกครั้ง ต้องรายงานและเสนอ ร่างกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้วต่อทั้งสองสภา ถ้าสภาทั้งสองเห็นชอบด้วย ให้นายกรัฐมนตรีนาขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ทันที แต่ถ้าสภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบด้วย ให้ยับยั้งร่างนั้นไว้ก่อน ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอาจยกขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้หลังหนึ่งร้อยแปดสิบวัน โดยอาจยืนยันร่างเดิมหรือร่างที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาก็ได้
๒.๓ กรณีพระมหากษัตริย์ทรงเห็นชอบและไม่เห็นชอบ
สาหรับกระบวนการลงพระปรมาภิไธยโดยพระมหากษัตริย์ นายกรัฐมนตรีจะต้องนาขึ้นทูลเกล้าฯ ภายในยี่สิบวัน หลังจากที่ได้รับร่างพระราชบัญญัตินั้นจากรัฐสภา หากพระมหากษัตริย์ทรงเห็นชอบและทรงลงพระปรมาภิไธย ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ แต่ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงไม่เห็นชอบและทรงใช้อานาจยับยั้ง ร่างพระราชบัญญัตินั้นจะถูกส่งคืนมายังรัฐสภาโดยไม่ทรงลงพระปรมาภิไธย หรืออาจทรงเก็บร่างนั้นไว้โดยไม่พระราชทานคืนมายังรัฐสภาจนล่วงพ้นเวลาเก้าสิบวัน ในกรณีนี้รัฐสภาจะต้องประชุมร่วมกันเพื่อปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่ หากรัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของสมาชิกทั้งหมดของทั้งสองสภา ให้นายกรัฐมนตรีนาขึ้นทูลเกล้าฯ อีกครั้งหนึ่ง หากพระมหากษัตริย์มิได้ทรงลง พระปรมาภิไธยและทรงพระราชทานคืนมาภายในสามสิบวัน ให้นายกรัฐมนตรีนา ร่างพระราชบัญญัตินั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เสมือนหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว
บรรณานุกรม
สานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐. (พิมพ์ครั้งที่ ๔). กรุงเทพฯ: สานักประชาสัมพันธ์ สานักงานเลขาธิการ
สภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๖๒.
สานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. “ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพุทธศักราช
๒๕๖๒.” สืบค้นเมื่อ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒. จาก https://library2.parliament.go.th /giventake/content_give/force-hr2562.pdf,
ไม่มีความคิดเห็น:
ไม่อนุญาตให้มีความคิดเห็นใหม่